
ปี 2567 เป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งและบริการ การใช้จ่ายของครัวเรือนยังคงอ่อนแอ การบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง
ขณะที่สินค้าประเภทแฟชั่นไลฟ์สไตล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร “ทรงตัว” ปัจจัยขับเคลื่อนหลักเพียงหนึ่งเดียวคือการบริโภคที่เกี่ยวข้องกับบริการที่สนับสนุนของภาคการท่องเที่ยว ราคาสินค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและบรรยากาศทางการเมืองเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากลดการซื้อสินค้าจำนวนมากและเลือกที่จะซื้อสินค้าที่จำเป็นในลักษณะ “ซื้อน้อยชิ้นแต่ซื้อบ่อยครั้ง” ความคุ้มค่าและราคาจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ
แต่ “ราคา” ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภคในปีที่ผ่านมาเทรนด์การค้าปลีกและการรับประทานอาหารที่สรรหาความหลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งบางส่วนดูเหมือนจะขัดแย้งกัน ผู้บริโภคภาพรวมมุ่งควบคุมการใช้จ่ายตามสภาพไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย แต่ก็ยังได้จัดสรรงบประมาณไว้สำหรับ “สิ่งที่ไม่จำเป็น” เช่น การเป็นสมาชิกห้องออกกำลังกาย บริการด้านสุขภาพ พร้อมให้ความสำคัญกับความเร็วและความสะดวกสบายในระดับสูง นี่สะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คุณภาพหรือคุณค่าที่ได้มา และแม้จะอยู่ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ นักช้อปก็พร้อมที่จะ “ติดแกลม” ซื้อสินค้าพิเศษ แบรนด์ดั้งเดิม และประสบการณ์ที่สนุกสนาน ตราบใดที่ยังสามารถหารายได้เพียงพอ
พฤติกรรม “ติดแกลม” ด้วยงบประมาณ “จำกัด” สะท้อนถึงภูมิทัศน์การค้าปลีกบางส่วนใน 3 ปีข้างหน้า (2568-2570) ดังนี้
ภูมิทัศน์ #1 Discount Store ถึงทางตันแล้ว
ท่ามกลางการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาด COVID-19 ในปี 2566 และภูมิทัศน์การค้าปลีกเข้าสู่ยุค Omni-Channel เต็มตัวในปี 2567 ทำให้ผู้ค้าปลีกไม่ว่าจะขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก ต้องปรับตัวพัลวัน การขายสินค้าบนออนไลน์ด้วยราคาที่จูงใจและส่งมอบสินค้าอย่างรวดเร็วกลายเป็นบรรทัดฐานปกติ พร้อมๆ กับการที่ผู้บริโภคเริ่มยอมรับคุณค่าทางนวัตกรรมและไม่มุ่งเน้นเรื่องราคาช่วยให้ห้างสรรพสินค้าเครือข่ายที่เป็นผู้นำประสบความสำเร็จและแซงหน้าห้างอื่นๆ ไปมากแล้ว
ที่ผ่านมา ร้านค้า Discount Store ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก การมาของ Online และ Omni Channel สร้างทางเลือกที่มีคุณค่ามากกว่าราคาในสายตาผู้บริโภค เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย แต่ก็เต็มใจที่จะแวะซื้อของชำหลายๆ แห่งเพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ
ในเวลาเดียวกัน Discount Store ร้านค้าที่มุ่งราคาถูกเป็นจุดขายหลัก น่าจะถึงทางตันแล้ว อย่างเช่น Hypermart ในไทยก็คงต้องปรับตัวเพิ่มความสะดวกและบริการที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยน Hypermart เป็น Premium Supermarket ที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่เช่า หรือ Plaza ผู้เขียนมองว่านี่เป็นการกลับไปสู่จุดกึ่งกลางหรือสมดุลและเป็นโอกาสสำหรับการสรรสร้างนวัตกรรมเรื่องส่วนลด ราคา ในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ใช่การลดราคาพื้นๆ ที่ทำอยู่
ภูมิทัศน์ #2 “นวัตกรรม” ที่ไม่ได้เป็นแค่ “สิ่งประดิษฐ์”
“นวัตกรรม” หมายถึง สิ่งที่แปลกใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากสิ่งที่เคยมีอยู่แล้ว โดยนวัตกรรมเป็นสิ่งมีคุณค่าในตัวของมันเอง แต่หาก “นวัตกรรม” นั้นไม่มีคนต้องการซื้อ หรือต้องการใช้ จึงเป็นแค่ “สิ่งประดิษฐ์” ยังไม่เข้าขั้นของนวัตกรรม ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งประดิษฐ์มักเป็นสิ่งที่ใช้ตั้งโชว์ในตู้เท่านั้น ไม่เกิดความต้องการซื้อหรือการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ทุกวันนี้ ผู้บริโภคเรียกร้องโหยหานวัตกรรมที่เพิ่มคุณค่าโดยไม่ต้องการจ่ายเงินเพิ่มและลดทอนคุณภาพสินค้า ร้านค้าปลีกใดเสนอผลิตภัณฑ์พิเศษและประสบการณ์พิเศษ หรือประสบการณ์ที่ยกระดับ ซึ่งไม่ทำให้ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่มก็จะเป็นที่โหยหาอย่างเร็ว ตัวอย่างเช่น บริการจัดส่งที่รวดเร็ว บริการรับคืนสินค้า หรือเพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน Self Service Checkout เป็นต้น
ภูมิทัศน์ #3 ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ทุกปัญหา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มักมีปัจจัยที่ไม่ใช่แค่สินค้าดี มีคุณภาพ แต่สินค้าและบริการเหล่านั้นต้องตอบโจทย์ ตรงใจ ตรงจริตของผู้บริโภค หนึ่งในจริตที่ตอบโจทย์ก็คือ ความสะดวกสบาย ในโลกแห่งความเร็วและความทันสมัยของเทคโนโลยี “ความสะดวกสบาย” กลายเป็นตัวตัดสินทุกสิ่งไปแล้ว การได้รับสินค้าหรือบริการในออนไลน์ก็อยากได้เร็วขึ้นจาก 1-3 วันทำการ ถือว่าช้าเกินไปแล้ว! Q-Commerce ธุรกิจขายส่งด่วนประเภทรับของภายใน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ในสหรัฐ เติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่ามหาศาลถึงกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024
ภูมิทัศน์ #4 Omnichannel : กำหนดนิยามใหม่ของการค้าปลีก
กลยุทธ์การค้าปลีกแบบ Omnichannel ไม่ใช่แค่การมีช่องทางการขายที่หลากหลายเท่านั้น แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงช่องทางการขายเข้าถึงกัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนระหว่างประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างราบรื่น แนวทางนี้ขยายการเข้าถึง กำหนดนิยามใหม่ของพื้นที่ค้าปลีก และสำรวจโมเดลการกระจายสินค้าใหม่ๆ ซึ่งทำลายอุปสรรคทางกายภาพของร้านค้าอย่างสิ้นเชิง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าปลีกได้กล่าวไว้ว่า อนาคตค้าปลีกไทยล้วนแล้วแต่ไปสู่ Omnichannel (Omnichannel is The Future of Retail) เป้าหมายสูงสุดของการค้าปลีกแบบ Omnichannel คือการสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าลูกค้าจะปฏิสัมพันธ์กับร้านค้าทางหน้าร้านหรือผ่านโซเชียลมีเดีย ประสบการณ์นั้นควรจะสอดคล้อง ราบรื่น สะท้อนถึงค่านิยมหลักของร้านค้า แนวทางแบบครบวงจรนี้ไม่เพียงเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า แต่ยังช่วยขับเคลื่อนความภักดีต่อร้านค้าอีกด้วย เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าเข้าใจและมีคุณค่าในทุกจุดสัมผัส พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้สนับสนุนร้านค้ามากขึ้น โดยขับเคลื่อนทั้งธุรกิจที่ซื้อซ้ำและการตลาดแบบปากต่อปาก
เมื่อเรามองไปสู่อนาคต เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือผู้ที่สามารถผสมผสานอาณาจักรทางกายภาพและดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์การชอปปิงที่ดื่มด่ำและเป็นส่วนตัวซึ่งสะท้อนกับผู้บริโภคยุคใหม่ การฟื้นตัวของการค้าปลีกแบบ Omnichannel ไม่เพียงแต่กำหนดรูปแบบการชอปปิงเท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏิวัติการค้าปลีกแบบ Omnichannel อีกด้วย การโต้ตอบที่ราบรื่นในแต่ละครั้ง
ท้ายที่สุดนี้ ในยุคใหม่ของการค้าปลีก อำนาจอยู่ในมือของผู้ที่เชี่ยวชาญศิลปะในการเชื่อมโยงหน้าร้านและออนไลน์อย่างแท้จริง สร้างประสบการณ์การชอปปิงที่มีชีวิตชีวาและหลากหลายเช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ใช้บริการ
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1164501