.jpg)
ผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีก (ความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย)
ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI เดือน ก.ค.2568 เพิ่มขึ้น 6.9 จุด เมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย. โดยปรับเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ นับตั้งแต่ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จและความถี่ในการใช้บริการ รวมถึง “ลดลง” ในทุกภูมิภาคและทุกประเภทของร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น-ไลฟ์สไตล์
การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค. มาจากปัจจัยการเมืองล้วนๆ ความปั่นป่วนภายในประเทศในเดือน มิ.ย. การเมืองมีแนวโน้มเข้าสู่โหมด “เกมโอเวอร์” ก็ลดความรุนแรงลงไปฉับพลัน หลังมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นทันที ตลาดหุ้นก็คึกคักอย่าง งงๆ
ผู้ประกอบการกลับคลายความกังวลต่อความร้อนแรงของสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศโล่งอก ไม่ได้มีความรู้สึกว่าประเทศขาดผู้นำ หรือขาดนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่รู้สึกว่า หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าส่งผลดีต่อประเทศไทยมากกว่า!
ปัญหาเรื่องเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ไม่ควรนำไปสู่ความรุนแรง แม้ว่า ปัญหาความความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาที่นำไปสู่ความรุนแรงบานปลายจนเกิดการปะทะกัน ก็คลี่คลายนำไปสู่โต๊ะเจรจาได้โดยเร็วภายในแค่ 5 วัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่รู้สึกตระหนกและกังวลว่าสถานการณ์จะนำไปสู่การทำศึกสงคราม
ขณะเดียวกัน ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับเพิ่มขึ้น 7.8 จุด จาก 37.2 จุด มาอยู่ที่ 45.0 จุด แต่ยังต่ำกว่าระดับที่ 50 สะท้อนถึง ผู้บริโภคยังคงความกังวลต่อความปั่นป่วนเศรษฐกิจการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ภาพรวมเดือน เม.ย.2568 เป็นอย่างไร?
เมื่อเปรียบเทียบในรายละเอียดเดือน ก.ค.2568 ต่อเดือน มิ.ย.2568 เราจะพบว่า
SSSG (MoM) จาก 30.8 จุด ไปที่ 37.5 จุด เพิ่มขึ้น 6.7 จุด
Spending Per Bill จาก 32.7 จุด ไปที่ 35.0 จุด เพิ่มขึ้น 2.3 จุด
Frequency of Shopping จาก 34.0 จุด ไปที่ 45.6 จุด เพิ่มขึ้น 11.6 จุด
ผลจาก SSSG(MoM) เพิ่มขึ้น 6.7 จุด สะท้อนให้เห็นว่า โดยภาพรวมยอดขายเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่า 5% เมื่อเทียบเดือน มิ.ย. สาเหตุจากวันหยุดยาว 2 ช่วง ประชาชนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากดัชนี Frequency Of Shopping เพิ่มขึ้น 11.6 จุด ขณะที่ Spending Per Bill เพิ่มขึ้นเพียง 2.3 จุด สะท้อนถึงกำลังซื้อยังอ่อนแอ ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่าย
เมื่อพิจารณาความเชื่อมั่นในรายภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค แต่ยังอยู่ต่ำกว่าเส้นระดับค่ากลางที่ 50 จุดทุกภูมิภาคเช่นกัน
- กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง เดือน ก.ค.2568 ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือน มิ.ย.2568 เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ปัจจัยที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นการเพิ่มขึ้นจากความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping (มากกว่า 5%) ขณะที่ การจับจ่าย Shopping per Basket ทรงตัว สะท้อนว่า การสัญจรเพิ่มขึ้นจากการมีวันหยุดยาว 2 ช่วง ขณะที่มูลค่าการจับจ่ายไม่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคระมัดระวังในการจับจ่าย อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากเหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชา
- ภาคเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด มีเพียงร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์ต และร้านค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (น้อยกว่า 5%) ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจาก Shopping per Basket จากการที่ประชาชนออกมาจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อนำไปสนับสนุนทหารและผู้ประสบภัยชายแดนกัมพูชา
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังอยู่จุดต่ำกว่าระดับ 50 ภูมิภาคนี้ แม้จะมีเหตุการณ์ปะทะชายแดนกัมพูชา ยอดขายของร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่กลับเพิ่มขึ้น (มากกว่า 5%) การเพิ่มขึ้นจึงเป็นการเพิ่มขึ้นของ Shopping Per Basket จากที่ประชาชนสั่งซื้อสินค้าจากห้างขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก เพื่อส่งไปสนับสนุนทหารหาญและผู้ประสบภัยชายแดนกัมพูชา ขณะที่ร้านค้าประเภทอื่นๆ ยอดขายลดลงเล็กน้อยหรือทรงตัว
- ภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยใกล้เคียงกับภาคเหนือ การเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่น เป็นการเพิ่มขึ้นของ Frequency of shopping (มากกว่า 5%) ขณะที่ ยอดซื้อต่อใบเสร็จ Shopping Per Basket ทรงตัว สะท้อนถึงกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวและยังระมัดระวังในการจับจ่าย
ประเด็นพิเศษ คาดการณ์ยอดขายธุรกิจในปี 2568
ผู้ประกอบกว่าครึ่ง คาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้าและบริการใน Q3/2568 เมื่อเทียบ Q3/2567
- ผู้ประกอบการ 22% ระบุว่า เพิ่มขึ้นน้อยกว่า หรือเท่ากับ 5%
- ผู้ประกอบการ 27% ระบุว่า ใกล้เคียงเดิม
- ผู้ประกอบการ 28% ระบุว่า ลดลงน้อยกว่า หรือเท่ากับ 5%
- ผู้ประกอบการ 18% ระบุว่า ลดลง 6-10%
- ผู้ประกอบการ 5% ระบุว่า ลดลง 11-20%
ปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายลดลงใน Q3/2568 เมื่อเทียบ Q3/2567
- ผู้ประกอบการ 70% ระบุว่า ลูกค้าประจำซื้อสินค้าและบริการลดลง
- ผู้ประกอบการ 55% ระบุว่า การแข่งขันของร้านค้าออนไลน์ต่างชาติ
- ผู้ประกอบการ 55% ระบุว่า ไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
- ผู้ประกอบการ 50% ระบุว่า การแข่งขันในประเทศที่รุนแรง
- ผู้ประกอบการ 25% ระบุว่า จำนวนลูกค้าต่างชาติขาจรลดลง
- ผู้ประกอบการ 20% ระบุว่า ปรับราคาขึ้น ทำให้ขายได้น้อยลง
- ผู้ประกอบการ 5% ระบุว่า ขาดแคลนสภาพคล่อง
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1194285