
ผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีก (ความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย)
ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI เดือน ส.ค.2568 เพิ่มขึ้น 8.2 จุด เทียบเดือน ก.ค.2568 โดยปรับเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ นับตั้งแต่ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จและความถี่ในการใช้บริการ รวมถึง เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคและทุกประเภทของร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง
นอกจากนี้ ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับเพิ่มขึ้น 6.6 จุด ยืนอยู่เหนือระดับที่ 50 ครั้งแรกในรอบ 8 เดือน สะท้อนถึงความมั่นใจ ของนักลงทุนและผู้ประกอบการ
การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ส.ค. มาจากปัจจัยการเมืองล้วนๆ การเมืองมีแนวโน้มเข้าสู่โหมด “เฉพาะกิจ” หลังมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากหน้าที่ สัปดาห์ต่อมา ดัชนีหุ้นก็ปรับตัวสูงขึ้นทันที ตลาดหุ้นคึกคัก ผู้ประกอบการคลายความกังวล ความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศโล่งอก การเมืองไม่ถึงทางตัน! แต่จะเข้าสู่โหมด “เฉพาะกิจ” 4 เดือน เพื่อเตรียมสู่การเลือกตั้ง งบประมาณปี 2569 พร้อมใช้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้น 6.6 จุด จาก 45.0 มาอยู่ที่ 52.4 จุด ยืนเหนือระดับ 50 เล็กน้อย สะท้อนถึง ผู้ประกอบการคลายกังวล การเมืองมีทางออก อย่างน้อย “เฉพาะกิจ 4 เดือน” ก็ยังดีกว่า ยุบสภาทันที! เพราะกว่าจะได้รัฐบาลใหม่อาจยาวไป 8-9 เดือน งบประมาณปี 2569 ก็ไม่สามารถนำไปกระตุ้นโครงการเศรษฐกิจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
กระตุ้นเศรษฐกิจ “เฉพาะกาล” อย่างไรให้เห็นผล
มาตรการที่นำเสนอจะต้องครอบคลุม ตรงเป้า มุ่งเน้นสนับสนุนร้านค้า และเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มการจ้างงาน กระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
1.กระตุ้นการบริโภคภาคประชาชน
- เพิ่มสวัสดิการ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ราว 13.5 ล้านคน และผู้พิการอีกราว 1 ล้านคน ได้สิทธิในรูปแบบที่ช่วยลดต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน เช่น ช่วยค่าเดินทางสาธารณะ ปัจจัยยังชีพ สำหรับคนเมือง หรือ แจกปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ให้เกษตรกร โดยไม่ต้องร่วมจ่าย (point system)
- “คนละครึ่ง” กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางราว 32 ล้านคน เราคงไม่หวังผลว่า “คนละครึ่ง” จะมาผลักดันจีดีพีให้เติบโต แต่โครงการนี้น่าจะเป็นโครงการเดียวที่ไหลไปสู่ผู้บริโภค ครอบคลุม และได้ผลชัดเจนเท่าที่มีโครงการเศรษฐกิจมา ช่วยลดภาระค่าครองชีพ เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าระบบ ดึงเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบ วางรากฐานภาษี โดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน (ต.ค.-พ.ย.) และสามารถใช้กับร้านค้าขนาดเล็กทุกประเภท
- "Easy e-Receipt" กลุ่มผู้มีรายได้สูง และจ่ายภาษี ประมาณ 4 ล้านคน เน้นกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้า ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า (200%) สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ จำกัดวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน มีระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค.) จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในเมืองได้ถึง 100,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ร้านค้าและส่งเสริมร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัล นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
- พัฒนาทักษะแรงงาน แถมได้เงินใช้ เรามีแรงงานนอกภาคเกษตรและอยู่ในระบบประกันสังคมราว 12 ล้านคน การลงทุนในทุนมนุษย์ช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว แนวทางกำหนดให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณไปยังสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆ บุคลากร ผู้ใช้แรงงาน ลงทะเบียนเรียน พัฒนาทักษะ กับสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรมต่างๆ ที่ได้มาตรฐานตามที่ลงทะเบียน และหลักสูตร Up-skill Re-skill ที่ได้หารือกับผู้ประกอบการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อผ่านการอบรมเรียนรู้ หลักสูตร Up-skill Re-skill ตามที่ผู้ประกอบการกำหนด เมื่อผ่านการ Up-skill Re-skill แล้ว ผู้ประกอบการจะมอบเงินเพื่อเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ เดือนละ จำนวน 1000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ผู้ประกอบการมอบให้แรงงานผู้ผ่านการพัฒนาทักษะ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 ได้ 3 เท่า (300%)
2. กระตุ้นการจ้างงานเพื่อเพิ่มรายได้
- รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง โครงการนี้สนับสนุนการจ้างงานใหม่ในเมืองใหญ่ โดยรัฐร่วมจ่ายเงินเดือน 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจำกัดเงินเดือนที่รัฐร่วมจ่ายไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน เน้นการจ้างงานในกลุ่มแรงงานที่ตกงาน บัณฑิตจบใหม่ และผู้ด้อยโอกาส โครงการนี้มีเป้าหมายในการสร้างการจ้างงานใหม่อย่างน้อย 200,000 ตำแหน่ง จะช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 3,000-5,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีเช่นกัน นอกจากนี้ ยังช่วยให้แรงงานได้รับการพัฒนาทักษะผ่านการทำงานจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว
- การจ้างงานรายชั่วโมง ช่วยลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ เพื่อมีรายได้บรรเทาภาระครอบครัว
3.ลดภาระต้นทุนการดำเนินธุรกิจ
- เลื่อนการจัดเก็บเงินเข้า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จากเดิมที่ประกาศ วันที่ 1 ต.ค.2569 เป็น 1 ม.ค.2571 เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวและเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น กระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง
- เลื่อนการปรับเงินสมทบจัดเก็บเข้ากองทุนประกันสังคม โดยกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้คำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 ขยับเพดานจาก 15,000 บาทเป็น 23,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็น 1 ม.ค.2571 เนื่องจาก ผู้ประกอบการที่จะต้องร่วมสมทบ 5% ของเงินเดือนพนักงานอันเป็นภาระต้นทุนที่สูงขึ้นภายใต้ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว การนำระบบเงินสมทบแบบ “ขั้นบันได” มาใช้ ฝ่ายนายจ้าง ต้องเตรียมงบประมาณในการสมทบเงินให้ลูกจ้างที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 125-400 บาทต่อคนต่อเดือน
4. กระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายภาครัฐ
- เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน 864,000 ล้านบาท ให้มีการเร่งเบิกจ่ายตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 คือ ต.ค-ธ.ค.2568 เพื่อใช้งบประมาณเข้าไปอัดฉีดระบบเศรษฐกิจสู้กับเศรษฐกิจชะลอตัว
- ดูแลสภาพคล่องในระบบ เพื่อให้ระบบสถาบันการเงินผันเงินเข้ามาในระบบเพิ่มเติม สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น เกิดการจับจ่ายใช้สอย กระตุกให้ GDP และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจในการผลิตขึ้นมาบ้าง
- เร่งรัดการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อปลุกให้สัดส่วนการลงทุนต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น และกลับมาเป็นเครื่องยนต์หลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอนาคตให้เศรษฐกิจในระยะยาว
กล่าวโดยสรุปแบบไม่สรุป หากรัฐบาลสามารถสร้างให้ประชาชน ผู้ประกอบการเชื่อมั่นได้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเป็นแค่ Soft Landing เศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวผ่านการบริโภค การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจปี 2568 อาจจะหักปากกาเซียน ที่ประเมินกันไว้ว่าแย่แน่ๆ ก็เป็นได้นะครับ
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1199186