หนี้ครัวเรือน เกิดจากอะไร
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2564 สูงถึง 89.3% ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก 80% เมื่อต้นปี 2563 และประมาณการหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงถึง 91% ต่อ GDP ในปี 2565
หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของวัตถุประสงค์การกู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์ และเครดิตยูเนี่ยน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของหนี้ครัวเรือน อันดับแรก การกู้ยืมเพื่อนำไปชำระหนี้สินเดิม (26%) อันดับสอง ใช้สอยส่วนตัว (24%) และอันดับสาม ใช้จ่ายด้านอื่นๆ (13%) ซึ่งแตกต่างจากการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่เป็นการกู้เพื่อซื้อบ้านและรถยนต์
ปัจจัยที่ทำให้ครัวเรือนมีรายรับไม่พอรายจ่าย
ส่วนหนึ่งมาจากรายจ่ายไม่จำเป็น และส่วนใหญ่มาจากภาระหนี้ที่สูง ผลการศึกษาพบว่า การท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่ครัวเรือนที่มีหนี้ และมีปัญหาควรลด โดยต้องลดลงถึง 83% จากปริมาณการใช้จ่ายปัจจุบัน เพื่อให้ครัวเรือนมีรายรับเพียงพอกับรายจ่าย รองลงมาคือ หมวดเสื้อผ้า ซึ่งครัวเรือนควรลดการใช้จ่ายถึง 73% ส่วนค่าอาหารนอกบ้าน และของใช้ส่วนบุคคลก็ควรลดลง 58% และ 54% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่ควรปรับลด การใช้จ่ายเพื่อสร้างวินัย และลดความเสี่ยงทางการเงินในครัวเรือน เช่น ค่าเหล้า และค่าหวยที่ควรลดลง ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ใช้จ่ายในปัจจุบัน หากครัวเรือนปรับลดรายจ่าย ที่ไม่จำเป็น และนำเงินที่เหลือไปชำระหนี้ (ลดภาระหนี้) เพื่อลดเงินต้นอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ก็จะสามารถสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลา และความอดทนอดกลั้นแต่สามารถทำได้
หนี้ครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหนี้ส่วนใหญ่ของคนไทยเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ส่วนในฝั่งผู้กู้ พบว่าผู้กู้ที่มีหนี้ และมีหนี้เสียเยอะเป็นผู้กู้อายุน้อย เกษตรกรก็สะสมหนี้จนแก่ มีประเด็นแน่นอนในการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว และเห็นว่าผู้กู้มีการกู้หลายบัญชีมากขึ้น และมีความสัมพันธ์กับคุณภาพหนี้ที่ด้อยลง เห็นหนี้ที่กระจุกตัวที่อาจจะมีความเสี่ยงเชิงระบบได้
แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
1.“เพิ่มรายได้ของครัวเรือน” รัฐบาลควรให้การสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น ให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคการผลิตต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือน อุปสงค์ มวลรวมจะเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้ภาคการผลิตมีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพิงสถาบันอื่นๆ จากภายนอก เศรษฐกิจของประเทศก็จะมีการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ลดช่องว่างระหว่างคนจน และคนรวยลง และการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้นเพราะตราบใดที่ครัวเรือนยังมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก่อหนี้เพื่อนำไปใช้จ่าย ในภาพใหญ่คงต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรให้แรงงานไทยเก่งขึ้น มีทักษะการทำงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด
2.“ปลดหนี้เดิม” ในช่วงที่ผ่านมา หลายหน่วยงานริเริ่มมาตรการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ทยอยปรับตัว และหลุดพ้นจากปัญหาหนี้ที่ประสบอยู่ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผลักดันหลายโครงการ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ คลินิกแก้หนี้ และโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนสอดคล้องกับรายได้ที่เปลี่ยนไป
ด้านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินหน้าช่วยเหลือกลุ่มข้าราชการครูที่ประสบปัญหาหนี้สินสูง สำหรับกรมส่งเสริมสหกรณ์เริ่มออกแบบมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกร อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเร่งเดินหน้าต่อไปเพื่อทำให้หลายมาตรการที่ออกมาเกิดผลดีในวงกว้าง
3.“สร้างความตระหนักรู้ทางการเงินด้วยการให้มีบัญชีครัวเรือน" เพื่อไม่ให้เกิดการใช้จ่าย และการก่อหนี้ที่เกินตัว มีความตระหนักถึงความสำคัญของการออม และการลงทุน รู้จักวางแผนการเงิน และบริหารความเสี่ยง บัญชีครัวเรือนเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการรู้จักตนเองสำคัญ และเป็นวิถีชีวิต ถ้าครอบครัวหนึ่งทำบัญชีครัวเรือนอย่างดี เอาบัญชีครัวเรือนมาดูจะรู้ว่าครัวเรือนนี้ดำรงชีวิตอย่างไร จนหรือรวย สุขภาพครอบครัวเป็นอย่างไร
การแก้ไขวิกฤติหนี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นการเฉพาะ การแก้ไขด้านรายได้ต้องทำควบคู่ไปกับการลดหนี้ ถ้าหนี้ลด แต่รายได้ไม่เพิ่ม สุดท้ายจะกลับไปเป็นหนี้อีก ดังนั้น การปรับขีดความสามารถทางการผลิตที่แข่งขันได้ในอนาคต จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการสร้างรายได้ของประชาชน และผู้ประกอบการ รัฐบาลต้องมองปัญหาหนี้ และรายได้ให้ทะลุ รีบลงมือปฏิบัติก่อนที่สายเกินไป